มาต่อกันเป็นตอนที่สองสำหรับการไปปักกิ่งคราวนี้ ตอนบ่ายหลังจากเสร็จสิ้นงานที่ Macworld Asia แล้ว จุดหมายต่อไปคือแวะไปดู The Oriental Plaza ที่เค้าว่าใหญ่กว่า 130,000 ตร.ม. ประกอบไปด้วยโรงแรม อาคารสำนักงาน และ Plaza ยาวกว่า 600 เมตร
การเดินทางไป The Oriental Plaza ต้องต่อรถไฟฟ้าใต้ดินถึง 3 สาย รวมแล้ว 12 สถานี ใช้เวลาทั้งหมด 35 นาที เล่นเอาเหนื่อย แต่ก็ได้เปิดหูเปิดตาดี ก่อนอื่นต้องชมว่ารถไฟฟ้าใต้ดินของปักกิ่งอาจจะดูซับซ้อนเพราะมีหลายสาย แต่ด้วยป้ายบอกทางที่มีอยู่ตลอดอีกทั้งมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างง่ายดาย ที่สำคัญ 2 หยวน ตลอดสาย ถูกกว่าที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ซะอีก การที่ค่าโดยสารเป็นราคาเดียวทำให้ยิ่งง่ายในการเดินทางไปใหญ่ ไม่ต้องกลัวจะซื้อตั๋วผิด ลงผิดสถานีเหมือนของบ้านเรา
คนที่ปักกิ่งใช้รถไฟใต้ดินกันเยอะ ทั้งๆที่เป็นเวลาบ่ายๆยังไม่ใช่เวลาเลิกงาน คนก็เริ่มเต็มคันรถแล้ว ยิ่งถ้าเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนอย่าง 5 โมงเย็น ถึงหนึ่งทุ่มแล้วต้องบอกว่าคนแน่นสถานีกันเลย ถึงขนาดต้องมีคิวขึ้นลงบันได ที่ปักกิ่งอาจจะเป็นเพราะประชากรเยอะจึงมีการใช้พนักงานมาช่วยค่อนข้างมาก ในช่วงเร่งด่วนจะมีการกั้นคนขึ้นลงบันได โดยให้คนขึ้นทั้งหมดสักพัก จึงหยุดให้คนลงมาทั้งหมด เพื่อไม่ให้เดินสวนกันแล้วอาจจะยิ่งช้า
หลังจากเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน 3 สาย 12 สถานี ก็มาถึง The Oriental Plaza ที่นี่มีร้าน Brand Name เรียกว่าแทบจะครบทุกราย นอกจากที่เราเห็นกันในบ้านเราแล้ว ยังมี Audi Gallery โชว์รถ Audi หลายรุ่น ต้องบอกว่าที่ประเทศจีน Volkswagen AG ถือว่าเป็นบ้านหลังที่สองรองจากที่เยอมันเลยทีเดียว BMW ก็ไม่น้อยหน้า มี BMW Lifestyle Shop เอารถ BMW มาจอดกันหน้าร้าน ส่วนด้านในขายสินค้าต่างๆที่เป็น Collection ของ BMW ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ของแต่งบ้าน กระเป๋า มีหลากหลายแบบ นอกจากค่ายรถทั้งสองแล้ว แฟชั่นแบรนด์ต่างๆมากันครบทั้ง CK,DKNY, A/X, MANGO, MOSCHINO, BURBERRY, หรือเครื่องประดับอย่าง Swarovski หรือ Tiffany&Co ก็มี เรื่องอาหารการกินมาครบ ทั้ง Starbucks ที่ผ่านมากี่ทีก็มีคิวยาวตลอด Sizzler, McDonald’s, BreadTalk ของ Singapore ก็มี ร้านกาแฟดังจากฮ่องกงอย่าง Pacific Coffee ก็มีสาขาให้เสียบปลั๊กเล้นอินเตอร์เน็ตกันกลางห้าง Beard Papa’s, Subway, Burger King ก็มา Yoshinoya ก็มี อันหลังนี้ขอแอบบ่น Central Restaurant Group ที่เอา Yoshinoya ไปเปิดที่ไทยหน่อย ชามเล็กมากเมื่อเทียบกับที่อื่น รวมทั้งที่ปักกิ่ง แถมรสชาติในไทยก็ออกเค็มจัด ไม่หอมอร่อยเหมือนที่ประเทศอื่นๆ มาคราวนี้ตั้งใจมาชิม Yoshinoya เพื่อเช็คดูว่ารสมันเปลี่ยนทั่วโลกหรือเฉพาะที่ได้ สรุปของ CRG น่าจะทำผิดรส
ใครมาจีนแล้วควรจะเตรียมใจเรื่องภาษาด้วยนะครับ คนที่นี่เค้าก็แปลก ทั้งๆที่เราพูดภาษาอังกฤษให้เค้า เค้าตอบกลับมาเป็นภาษาจีนเป็นชุด อย่างพนักงานของ Yoshinoya นี่ไม่สนว่าคุณจะสั่งอาหารเป็นภาษาอะไร เธอท่องกลับมาเป็นภาษาจีนตลอด ทั้งเชียร์เพิ่มขนาดโค้ก เชียร์เพิ่มสลัด ไม่ใช่แค่ Yoshinoya แต่พนักงานร้าน Starbucks ก็เป็นถามมีนม Nonfat มั้ย ตอบกลับมาเป็นภาษจีน พอสั้ง Tall Nonfat Latte บอกราคาเป็นภาษาจีนอีก ก็แปลกดี
สำหรับคนที่ไม่คิดจะช้อปอะไรเหมือนผม เดินๆดูร้านโน่นนี่ ก็เจริญูเจริญตาดี ที่เจริญหูเริญตาอีกอย่างคงเป็นสาวๆแถวๆนี้ แต่งตัวกันได้สวยงามแตกต่างจากแถวๆโรงแรมผมอย่างสิ้นเชิง ทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม ออกมาจากหนังสือกันหลายคนเลยทีเดียว ขาสั้น Legging รองเท้าบูท ดูจะเป็นแฟชั่นยอดนิยม ลืมบอกไป Blackberry Shop ที่เพิ่งเปิดในเมืองไทยก็กำลังจะเปิดที่นี่เหมือนกัน
นอกจาก The Oriental Plaza แล้ว ด้านข้างยังเป็นเหมือนถนนคนเดิน เรียกว่า ถนน หวังฟูจิ้ง (Wangfujing St.) ที่นี่ไม่ใช่ถนนคนเดินแบบบ้านเราที่ขายอาหาร สินค้าพื้นเมืองนะครับ แต่เป็นแบรนด์เนมทั้งนี้น ทั้ง Nike, Zara, Omega เรียกว่าเดินหัวถนนท้ายถนน ถ้าเป็น Shopgaholic นี่คงหมดตัว ตอนที่ผมไปมีงาน Wangfujing Brandname Festival ครั้งที่ 2 ด้วย มีออกร้านและกิจกรรมกันหลายจุด
ร้านหนังสือที่นี่อยู่กันเป็นตึก
ช่วงที่ไปมี International Brand Festival พอดี
ผู้คนคราคร่ำเต็มไปหมด
ความขัดแย้งที่กลมกลืนบนถนนเส้นนี้
ร้านนี้ขายแต่หมวกทั้งร้้าน
ส่วนร้านนี้ขายแต่ตะเกียบทั้งร้าน
เหมือน Shibuya Honey Toast บ้านเราที่คนไปเข้าแถวรอกิน
ร้านChina Unicom ร้านนี้เลือกไม่ถูกว่าจะขาย iPhone 3GS หรือ 4 ดี
คืนนั้นปิดท้ายด้วยอาหารเย็นอภินันทนาการจากเพื่อนชาวจีนจากแบรนด์ X-Doria ที่มาออกงาน Macworld Asia ใครใช้ iPhone iPad ก็อุดหนุนเค้ากันหน่อยนะครับ หาได้ตาม Betrend หลายสาขาทั้งพารากอน เอ็มโพเรียม หรือ ตามร้าน hardware house สาขาใหญ่ๆก็น่าจะมี หมดพื้นที่โฆษณาแล้ว กลับมาเรื่องอาหารเย็นกันต่อ มาปักกิ่งทั้งที ไม่กินเป็ดปักกิ่งก็เหมือนมาไม่ถึง
ร้านนี้ชื่อ King Roast Duck Restaurant (ภาพจาก http://www.Fantong.com)
มาเป็นจานแบบมีเนื้อมาด้วย (ภาพจาก http://www.itourbeijing.com )
แต่เป็ดปักกิ่งที่นี่ไม่เหมือนที่เมืองไทย เค้าแล่หนัง แล้วมีเนื้อมาด้วย ส่วนกระดูกที่เอาไปผัดเลยแทบไม่เหลือเนื้อ เครื่องเคียงเหมือนๆกันทั้งต้นหอม แตงกวา แต่ซอสจะไม่หวานเส่วนหนังก็ไม่กรอบหมือนของในไทย แต่ก็น่าจะเป็นต้นตำหรับแบบนี้แหละ คงเหมือนอาหารหลายๆอย่างที่ไปเมืองไทยแล้วปรับ เปลี่ยนจนถูกปากคนไทยแต่ผิดเพี้ยนจากต้นตำหรับไป
เหนื่อยมาทั้งวัน กินอ่ิมแล้ว วันนี้ขอไปนอนก่อน ตอนหน้าจะมาเล่าเรื่องการเหยียบกำแพงเมืองจีน และท่องราตรีกรุงปักกิ่งให้อ่านกันครับ